top of page

2001: A Space Odyssey

  • Dhorn T.
  • 5 ม.ค. 2559
  • ยาว 2 นาที

ในปัจจุบัน ภาพยนตร์ต่างๆถูกทำให้เป็นสี มีเสียงประกอบมากมาย ถ้าหากเราเดินไปถามเด็กๆสมัยนี้ บางคนอาจไม่รู้จักคำว่าหนังเงียบด้วยซ้ำ

ยิ่งหนังสมัยใหม่ ช่วงหลังปี 2000 เป็นต้นมา การทำหนังเงียบที่ไม่มีบทพูด เป็นแค่ภาพขาวดำธรรมดาๆ คงเหมือนกับการฆ่าตัวตายทางอ้อม แต่ถึงกระนั้น เมื่อไม่กี่ปีมานี้ก็มีคนทำออกมาให้ดูอย่างเรื่อง The Artist และ Blancanieves (หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ Snow White) ซึ่งทั้งสองเรื่องนั้น นับว่าประสบความสำเร็จไม่น้อยเลยทีเดียว

แต่ในวันนี้ มีหนังเงียบเรื่องหนึ่งที่อยากเอามานำเสนอ...

หลายท่านที่เป็นแฟนพันธุ์แท้หนังเงียบ ก็คงไม่เคยพลาดกับเรื่อง 2001: a space odyssey นี้ เรื่องนี้ถือว่าเป็นหนัง sci-fi เรื่องแรกของโลก ก็ว่าได้ ถูกสร้างขึ้นในปี 1968 กำกับโดย Standley Kubrick มีเนื้อเรื่องประมาณว่า

เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับแท่งหินประหลาดสีดำที่ไม่มีที่มาที่ไป โดยแท่งหินที่ว่านี้ เป็นตัวดำเนินเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ กล่าวได้ว่าหนังเรื่องนี้เป็นทั้งหนังเจ้าพ่อ sci-fi และหนังที่แฝงไปด้วยปรัชญา และสัญลักษณ์ต่างๆมากมายนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว

เรื่องย่อแบบละเอียดขึ้น เพื่อให้อ่านการตีความของผู้เขียนอย่างเข้าใจ

***SPOILER ALERT***

เริ่มต้นด้วยการแช่ภาพสีดำขึ้นบนจอ ทำให้เกิดความรู้สึกว่าง ปล่าวเปลี่ยว และน่าค้นหา ต่อมาจึงเป็นการขึ้นชื่อหนังด้วยการปรากฎภาพของโลกที่เราอาศัยอยู่ ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์อยู่ในระนาบเดียวกัน หลังจากนั้นจึงเข้าสู่บทที่หนึ่ง

The Dawn of Man

เป็นเรื่องราวของกลุ่มวานร อาศัยอยู่สถานที่ที่มีแหล่งน้ำท่ามกลางบรรยากาศอันร้อนระอุในทุ่งหญ้าทะเลทราย เหตุการณ์ต่างๆดูเป็นกิจวัตรปกติ จนเมื่อมีเสือดาวมาคร่าชีวิตของสมาชิกตัวหนึ่งไป พวกเขาได้รับรู้ว่า ยังมีสัตว์ชนิดอื่นที่ไม่ได้กินพืชเช่นเดียวกับพวกตน ต่อมามีการรุกรานของวานรอีกกลุ่ม ทำให้พวกเขาต้องระหกระเหเร่ร่อนไปอยู่ที่อื่น ชีวิตของพวกเขาเปลี่ยนจากสภาพความสงบสุขการเป็นความเงียบเหงาเศร้าสร้อย จนเมื่อเช้าวันรุ่งขึ้น พวกเขาค้นพบกับแท่งหินสีดำ รูปร่างแปลกตาอยู่ตรงหน้า ราวกับมีใครมาตั้งไว้อย่างจงใจ

หลังจากนั้นเสมือนว่าแท่งหินไปดลจิตดลใจสร้างแรงขับบางอย่างแก่หมู่วานรที่เคยยอมศิโรราบให้ลุกขึ้นต่อสู้และกลับไปแย่งชิงดินแดนของตนมาให้ได้ แท่งหินนั้นสร้างทั้งความกล้าและมอบความโหดร้ายให้กับเหล่าวานร รอเมื่อขาดสติไม่อาจควบคุม มันก็จะออกมาอาละวาด และสร้างความเสียหายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด หมู่วานรเริ่มฆ่าสัตว์ที่คุ้นเคย และมีกระดูกเป็นอาวุธ ภาพถูกตัดแบบแมทช์คัท เมื่อเจ้าวานรตัวหนึ่งโยนกระดูกขึ้นบนฟ้าเพื่อเป็นการขับไล่และแสดงถึงความมีอำนาจในการยึดครองพิ้นที่ กระดูกถุกนำไปเปรียบเทียบเช่นเดียวกับยานอวกาศในยุคสมัยปัจจุบัน

ภาพตัดมาโดยไม่ได้ขึ้นชื่อตอนใหม่ เป็นเหมือนการบอกว่าเรื่องราวเมื่อสี่ล้านปีก่อนกับปัจจุบัน ก็คือเรื่องเดียวกัน ซึ่ง

ถือเป็นการตัดต่อช่วงเวลาที่นานที่สุดในประวัติศาสตร์ เพราะนับจากวันที่เหล่าวานรเกิดบ้าคลั้งจนถึงวันที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง ก็กินเวลากว่าสี่ล้านปี ราวกับโผล่มาอีกมิติ อันเป็นเรื่องราวของ Dr. Heywood R. Floyd ที่เพิ่งเดินทางมาถึงยานอวกาศแพนแอม เพื่อที่เขาจะไปศึกษาการค้นพบ “แท่งหินสีดำ” ที่ฐานคลาเวียสบนดวงจันทร์ เมื่อเขาไปถึงดวงจันทร์และไปพบกับแท่งหินประหลาด ขณะที่พวกเขากำลีงตื่นเต้นและเก็บรูปเอาไว้เป็นที่ประทับใจ ก็มีเสียงประหลาดหวีดร้องออกมาจากแท่งหิน สร้างความกระอักกระอ่วนใจไม่น้อยทั้งต่อฟลอยด์ ผองเพื่อนเขา และเหล่าคนดู

Jupiter Mission

อยู่ๆ เราก็มาโผล่เมื่อเหตุการณ์ได้พูดถึงเรื่องราวสิบแปดเดือนหลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น บนยานอวกาศ Discovery One ของสหรัฐฯ (หากลองสังเกตยานลำนี้มีรูปร่างคล้ายกับมนุษย์ ประกอบด้วยหัว ตัวและขาที่ไว้ขับเคลื่อนยาน) คนห้าคนซึ่งสามในห้าถูกทำให้อยู่ในสภาพไร้สติและหลับไหล เพื่อประหยัดการใช้จ่ายวัตถุดิบต่างๆบนยาน เหลือเพียงนักบินสองนายได้แก่ Dr. David Bowman และ Dr. Frank Poole กับปัญญาประดิษฐ์ที่ชื่อว่า HAL 9000 เขาเป็นเสมือนลูกเรือคนที่หก ที่ทำหน้าที่ดูแลสอดส่องทุกสิ่งทุกอย่างบนยานลำนั้น จนเมื่อทั้งเดฟและแฟรงค์พบว่าฮาลที่อ้างว่าตนไม่เคยประมวลผลผิดพลาด และกล่าวหาว่า เพราะมนุษย์นั่นแหละที่ทำให้มันผิดพลาด ทั้งคู่แอบปรึกษากันอย่างลับๆ และวางแผนกับว่าจะปิดระบบปฎิบัติการนี้

Intermission [ซึ่งปรากฎภาพจอดำและดนตรีเช่นเดิม]

แต่จนแล้วจนรอดฮาลก็แอบล่วงรู้ถึงแผนการที่กำลังจะเกิดขึ้น อันนำมาซึ่งความสูญเสียของลูกเรือ มีเพียงเดฟที่รอดชีวิต มาได้ เขาค้นพบว่าแท้จริงแล้วการเดินทางในครั้งนี้ มีจุดมุ่งหมายที่มากกว่าการไปถึงที่ดาวพฤหัสฯ แต่เป็นเพราะเมื่อสิบแปดเดือนก่อนมีสัญญาณวิทยุปล่อยออกมาจากแท่งหินซึ่งมีเป้าหมายมาจากดาวพฤหัสฯ เขาจึงเป็นตัวแทนของเหล่า นักวิทยาศาสตร์ผู้สงสัยว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นที่ดาวดวงนั้นกันแน่ เมื่อเขาไปถึงและได้ใช้ยานลำเล็กเพื่อออกไปสำรวจพื้นผิวบนดาว แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น

Jupiter and Beyond the Infinite

เดฟเดินทางข้ามมิติและไปพบกับดินแดนที่แปลกตา (อันที่จริงก็เหมือนภูมิประเทศบนโลกเรา เพียงแต่ราวกับถูกย้อมสีสัน) ทันทีทันใดเดฟก็มาปรากฎที่ห้องพักสไตล์นีโอคลาสสิคคล้ายกับในโรงแรม ณ แห่งใดแห่งหนึ่ง ที่นั่นเขาเห็นตัวเองค่อยๆแก่ลง และท้ายที่สุดก็นอนบนเตียงอย่างไร้ซี่งเรี่ยวแรง เขาพบกับแท่งหินดำอยู่ปลายเตียง เขาพยามยามเอื้อมจะเอามือไปสัมผัส และแล้วภาพก็ตัดมา เมื่อเดฟกลายเป็นเด็กทารกที่ถูกห้อมล้อมด้วยลำแสง และเขาก็จ้องมองไปยังโลกใบเดิมที่เขาเคยอาศัยอยู่

***จบ SPOILER*** มาถึงการตีความของข้าพเจ้า

ฉากมืดในตอนแรก พลันให้เรานึกถึงเรื่องราวการสร้างตะวันและเดือนในศาสนาคริสต์ที่ว่า ในตอนแรกโลกยังไม่มีดวงอาทิตย์ แล้วพระเจ้าก็บอกให้มีดวงอาทิตย์ ดังเช่นในหนังที่ตอนแรกดำมืดแล้วจู่ๆ ก็มีแสงอาทิตย์และเราก็เห็นโลกและดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ เป็นตัวแทนของการรู้แจ้ง เห็นจริง เข้าใจและรับรู้ถึงคุณค่าที่แท้จริงของความเป็นมนุษย์ กล่าวคือ เอื้อเฟื้อ มีความเมตตา และรู้จักควบคุมสัญชาติญาณร้ายของตนเองได้ นั่นคือไม่เห็นแก่ตัว ดวงจันทร์ ต้องขอกล่าวก่อนว่าหนังเรื่องนี้ถูกสร้างในช่วงสงครามเย็น กล่าวคือ สงครามอย่างลับๆ ระหว่างสองมหาอำนาจทางความคิดนั่นคือ สหรัฐฯ (ทุนนิยม) และโซเวียต (สังคมนิยม) ซึ่งก็ต่างแข่งขันกันเพื่อชักชวนให้ประเทศต่างๆเข้ามาเป็นพวกพ้องของตนเองผ่านโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ นั่นคือการเผยแพร่ลัทธิความเชื่อของตน และเปลี่ยนให้ประเทศต่างๆมีความเชื่อในแบบเดียวกับตน หนึ่งในวิธีการที่สองประเทศใช้คือ การห้ำหั่นแย่งชิงพื้นที่ในอวกาศ เช่น การแข่งขันกันไปถึงดวงจันทร์ ดังนั้นดวงจันทร์จึงแทนความหมายตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ นั่นคือความมืดบอดทางปัญญาของมนุษย์​ ล้างผลาญ แย่งชิงความดีเด่นกัน เพื่ออำนาจและการชื่นชมยินดีให้แก่ตนเอง

แท่งหินสีดำ (The Monolith) โดยส่วนตัวมีความเห็นว่า มันป็นเหมือนสัญลักษณ์ที่มีสองด้าน หากลองสังเกตดู จะมีด้านที่เป็นดวงจันทร์กับด้านที่เป็นดวงอาทิตย์ และในสองครั้งที่หินสีดำปรากฎ (ไม่รวมในห้องของเดฟ) จะถ่ายแบบ low angle และเห็นดวงอาทิตยือีกด้านของหิน นั่นหมายถึง ตัวละครในเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเหล่าวานรที่รู้จักใช้อาวุธเพื่อฆ่าแกงเพื่อนสายพันธุ์เดียวกันหรือมนุษย์บนดวงจันทร์ที่กำลังชื่นชมยินดีกับการค้นพบและไปเหยียบดวงจันทร์ของตนเองเมื่อสี่ล้านปีต่อมา ต่างก็เลือกจุดยืนด้านดวงจันทร์ นั่นคือ เราต่างอยู่ใต้การบงการของสัตว์ร้ายในจิตใจมาตลอดไม่เปลี่ยนแปลง แท่งหินเป็นสิ่งที่มาจากสิ่งมีชีวิตทรงปัญญา มันจึงแทนถึงภาวะที่ตัวละครคิดตัดสินใจระหว่างด้านดี

หรือด้านชั่วร้าย

สังเกตจากในหนังว่ายิ่งเวลาผ่านไป เรายิ่งมีความเป็นมนุษย์เหลือน้อยลง ตั้งแต่อดีตกาลที่บรรพชนเราเป็นวานรอยู่รวมกันเป็นกลุ่มกินพืช ต่อมาเจอแท่งหิน (การตัดสินใจครั้งที่หนึ่ง) เลือกด้านเลวร้าย มาจนถึงบนยานอวกาศแพนแอมเรายังพอมีความดีงามหลงเหลือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ยังคงอยู่ใต้การควบคุมของเรา บทสนทนาระหว่างพ่อลูกยังดูชื่นมื่น อาหารการกินก็ยังไม่ต่างจากบนพื้นดินมากเท่าไหร่ เพียงแต่ต่างกันที่บรรจุภัณฑ์ แต่พอมาบนยาน Discovery One เราแทบไม่มีความดีงานหลงเหลือจับมนุษย์ให้จำศีลราวกับสัตว์ บทสนทนาระหว่างพ่อแม่ลูก ก็นิ่งเฉย ไร้อารมณ์ (ในฉากนั้นถูกเน้นย้ำด้วยแสงแดดปลอม แสดงถึงดวงอาทิตย์เทียม จิตใจคนมีด้านดีงามที่จอมปลอม) อาหารเหลวสีสันแปลกตาที่แตกต่างจากที่ผ่านมาชัดเจน และปัญญาประดิษฐ์มีความชาญฉลาดมากกว่าคน ฮัล ปัญญาประดิษฐ์ เป็นตัวแทนของมนุษย์ในอนาคตอันใกล้ ซึ่งมีความชาญฉลาดมากขึ้นกว่าสมัยก่อน แต่กลับหยิ่งยะโสทะนงตน และไม่ยอมรับในความผิดพลาดของตน เพราะแท้จริงแล้วฮัลก็เป็นผลผลิตมาจากมนุษย์นั่นเอง ซึ่งมนุษย์ก็มีความผิดพลาด (ถูกฮัลตอกกลับในคราวที่เดฟและแฟรงค์ติฮัลว่าผิดพลาด) อีกนัยหนึ่งก็หมายถึงว่าในยุคสมัยนี้ มนุษย์ได้ให้ความสำคัญและยกยอให้เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่มีคุณค่า ยอมที่จะสละชีวิตของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเพื่อให้เทคโนโลยียังคงอยู่ (เห็นได้ชัดจากการแย่งชิงพื้นที่บนอวกาศของสองมหาอำนาจ และสงครามที่เกิดอันเนื่องมาจากสงครามเย็น เช่น สงครามเกาหลี หรือสงครามเวียตนาม)

Discovery One อุปมาอุปมัยเหมือนโลกใบนี้ที่เราอยู่อาศัย ประกอบด้วยอุดมการณ์สองขั้วที่ดำรงอยู่ โดยมีเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่ทั้งสองประเทศยกไว้เหนือหัว คนสามคนที่หลับไหลจึงเป็นตัวแทนของโลกที่สาม (อันได้แก่อเมริกาใต้ แอฟริกา และเอเชียบางส่วน) ที่ไม่รับรู้ถึงสถานการณ์ปัจจุบัน และตกเป็นเหยื่อของเคราะห์กรรมที่สองประเทศได้ทำไว้ สียานและชุดอวกาศก็ชวนให้เราคิดถึงสีธงชาติของอเมริกา (นำ้เงิน แดง ขาว) กับโซเวียต (แดง ส้ม)

การไปสำรวจหรือค้นพบดาวพฤหัสฯ ของเดฟ แสดงถึงการยังไม่อาจคุมจิตใจตัวเองได้ นั่นคือยังมีจิตใจที่ต้องการเอาชนะโซเวียต (ใครยิ่งค้นพบอะไรในอวกาศได้มากกว่าก็ยิ่งมีอำนาจมากเท่านั้น)

ในฉากที่เดฟยื่นมือเข้าไปหาแท่งหินดำในตอนท้าย คล้ายกับอดัมในภาพของมิเกลันเจโล ชื่อ The Creation of Adam ซึ่งในภาพนั้น เป็นจุดเริ่มต้นของอดัม มนุษย์ที่ศรัทธาในความดีงาม เช่นเดียวกับเดฟที่บัดนี้เขาได้เข้าใจและซาบซึ้งในพระเจ้า ต่อมาเป็นภาพของเด็กทารก จึงแสดงถึงว่าเขาได้เกิดใหม่ และเข้าใจถึงแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์แล้ว

ทั้งนี้ทั้งนั้น ทุกอย่างเป็นเพียงการตีความของข้าพเจ้า

ธรณ์ ทักษิณวราจาร


 
 
 

Comentarios


Featured Posts
Recent Posts
Search By Tags
Follow Us
  • Facebook Long Shadow
  • Twitter Long Shadow
  • SoundCloud Long Shadow

© 2023 by PlayPlay. Proudly created with Wix.com

 

bottom of page